หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำรงชีวิต


WE WELCOME YOUR DONATION
1. ความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคล
สิทธิ หมายถึง สิ่งที่ไม่มีรูปร่างซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ตั้งแต่กำเนิดหรือออาจกำเนิดขึ้นโดยกฎหมาย ซึ่งมนุษย์ก็จะเป็นผู้เลือกใช้สิทธินั้นเอง ไม่มีใครสามารถบังคับได้ นอกจากนั้นสิทธิของแต่ละบุคคลต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย โดยจะต้องไม่กระทบต่อสิทธิของผู้อื่น
2. ลักษณะของกฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล
กฎหมายคุ้มครองสิทธิของบุคคลต้องอาศัยการทำงานที่สัมพันธ์กันของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ โดยฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องทำหน้าที่ร่างกฎหมาย ปรับปรุงแก้ไข เพิ่มเติม กฎหมายเข้าสู่รัฐสภา เพื่อให้กฎหมายคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลในด้านต่างๆ มีความทันสมัยตลอดเวลาตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของสังคม
2.1 กฎหมายเกี่ยวกับเด็ก
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้กำหนดหลักการพื้นฐานสำหรับเด็กที่จะต้องได้รับการคุ้มครองไว้ 4 ประการ คือ สิทธิที่จะมีชีวิตรอด สิทธิที่จะได้รับการพัฒนาส่งเสริม สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครอง สิทธิที่จะมีส่วนร่วม และได้กำหนดให้องค์กรต่างๆ ของสังคมที่เกี่ยวกับการควบคุ้มดูแลเด็กปฏิบัติต่อเด็ก ดังนี้
1. หน้าที่ของผู้ปกครอง
-
อุปการะเลี้ยงดู อบรบ สั่งสอนและพัฒนาเด็กที่อยู่ในการดูแลของตน
-
คุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กที่อยู่ในการดูแลของตน โดยไม่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายต่อสภาพร่างกายและจิตใจ
-
ไม่ทอดทิ้งเด็ก ผู้ปกครองจะต้องไม่ทอดทิ้งเด็กไว้ในสถานรับเลี้ยงเด็ก สถานพยาบาล หรือสถานใดๆ โดยเจตนาที่จะไม่รับเด็กกลับคืน
-
ไม่จงใจหรือละเลยไม่ให้สิ่งที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตของเด็ก เช่น ด้านสุขภาพอนามัย ปัจจัยสี่ เป็นต้น
-
ไม่ปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการขัดขวางการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการของเด็ก
2. หน้าที่ของรัฐ
-
คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่อยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ไม่ว่าเด็กจะมีผู้ปกครองหรือไม่มีผู้ปกครองก็ตาม
-
ดูแลและตรวจสอบสถานรับเลี้ยงเด็กต่างๆ เช่น สถานสงเคราะห์เด็ก สถานคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน เป็นต้น
2.2 กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษา
กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาในปัจจุบัน ได้แก่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซี่งมีสาระสำคัญที่นักเรียนควรรู้และทำความเข้าใจ ดังนี้
1. จุดหมายและหลักการ เนื่องจากมนุษย์เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่จะมีส่วนพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า ดังนั้น การศึกษาจึงมีความสำคัญยิ่งที่จะช่วยให้คนในชาติมีความรู้ เพื่อนำไปพัฒนาประเทศต่อไป รัฐจึงต้องลงทุนทางการศึกษา
2. หน้าที่ของรัฐในการจัดการศึกษา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กำหนดให้รัฐจะต้องดำเนินการทางการศึกษาให้แก่เด็กและเยาวชนดังนี้
-
รัฐต้องจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยให้เด็กและเยาวชนมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการเข้ารับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
-
รัฐต้องการจัดการศึกษาเป็นพิเศษ สำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคมต้องจัดให้มีการสื่อสารและการเรียนรู้
3. สิทธิและหน้าที่ของบิดามารดาหรือผู้ปกครอง มีหน้าที่จัดให้บุตรหรือบุคคล ซึ่งอยู่ในความดูแลได้รับการศึกษาภาคบังคับจำนวน 9 ปี
4. รูปแบบการจัดการศึกษา การจัดการศึกษามี 3 รูปแบบ ดังนี้
-
การศึกษาในระบบ ได้แก่ การเรียนการสอนในโรงเรียน วิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยต่างๆทั้งของรัฐและเอกชน
-
การศึกษานอกระบบ เช่น การศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เป็นต้น
-
การศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการศึกษาที่ผู้เรียนเรียนด้วยตนเอง เช่น การฝึกอบรมวิชาชีพของสถาบันแรงงานต่างๆ
5. แนวทางการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน การจัดการศึกษาทุกรูปแบบจะเน้นให้ผู้เรียนมี ความรู้ ความสามารถ และพัฒนาตนเองได้ โดยยึดผู้เรียนสำคัญที่สุด
2.3 กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
หน่วยงานที่คุ้มครองผู้บริโภค มีอยู่หลากหลายและกระจายตามประเภทของการบริโภคสินค้าและบริการ เช่น
-
กรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับอาหาร ยา หรือเครื่องสำอาง เป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากระทรวงสาธารณสุขที่ต้องเข้ามาดูแล
-
กรณีที่ประชาชนได้รับความรับความเดือดร้องเกี่ยวกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมก็เป็นหน้าที่ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
-
กรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับเจ้าของกิจการธุรกิจจัดสรรที่ดิน อาคารชุด ก็เป็นหน้าที่ของกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย
-
กรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกี่ยวกับคุณภาพหรือราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นหน้าที่ของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ได้บัญญัติสิทธิของผู้บริโภคไว้ 5 ประการคือ
-
สิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าและบริการ
-
สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าและบริการโดยปราศจากการชักจูงก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า
-
สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพและมาตรฐานเหมาะสมแก่การใช้
-
สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยค่าเสียหาย
-
สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรม ในการทำสัญญาโดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ
2.4 กฎหมายคุ้มครองลิขสิทธิ์
ลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ให้ความหมายไว้ว่า ลิขสิทธ์ หมายถึง สิทธิแต่ผู้เดียวของผู้สร้างสรรค์ผลงานที่จะทำการใดๆ กับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น เช่น การทำซ้ำหรือดัดแปลงนำออกเผยแพร่ต่อสาธารณชน นำออกให้ผู้อื่นเช่นต้นฉบับรวมทั้งอนุญาติให้ผู้อื่นใช้ลิขสิทธิ์ของตนได้
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ที่ได้กำหนดขอบข่ายงานที่มีลิขสิทธิ์ไว้ ดังนี้
-
ต้องเป็นงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของผู้สร้างสรรค์ โดยเกิดขึ้นจากความคิดริเริ่มของตนเอง มิได้ทำซ้ำ หรือดัดแปลมาจากลิขสิทธิ์ของผู้อื่น
-
ต้องเป็นผลงานที่เป็นรูปร่างสามารถจับต้องสัมผัสได้
-
ต้องเป็นงานประเภทต่างๆ ที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ในพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 รวม 9 ประเภท
-
งานวรรณกรรม ได้แก่ งานแต่งหนังสือ ทำภาพประกอบ เป็นต้น
-
งานนาฏกรรม ได้แก่ การคิดท่าเต้น ท่ารำ จิตลีลา สุนทรพจน์ เป็นต้น
-
งานคนตรี ได้แก่ ผลงานการแต่งเพลง แต่งคำร้อง ทำนอง เป็นต้น
-
งานศิลปกรรม ได้แก่ ผลงานด้านศิลปะ การวาด การปั้น เป็นต้น
-
งานโสตทัศนศึกษา ได้แก่ ภาพแผ่นใส ระบบแสง สี เสียง เป็นต้น
-
งานภาพยนตร์ ได้แก่ ผลงานการสร้างสรรค์ภาพยนตร์
-
งานส่งบันทึกเสียง ได้แก่ เทปบันทึกเสียงรายการ
-
งานแพร่งเสียง แพร่ภาพ ได้แก่ การกระจายเสียงวิทยุ หรือโทรทัศน์ รายการที่ออกอากาศ
-
งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์หรือแผนกศิลปะ
-
ลิขสิทธิของผู้เป็นเจ้าของ
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ได้ให้ความคุ้มครองเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงาน มีสิทธิแต่ผู้เดียวที่จะกระทำการใดๆ ต่อไปนี้
1. ทำซ้ำหรือดัดแปลง หมายถึง คัดลอกไม่ว่าจะเป็นวิธีการใดๆ เลียนแบบสำเนา ทำแม่พิมพ์บันทึกเสียง
2. เผยแพร่ต่อสาธารณชน
3. ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางานโปรแกรมคอมพิวเตอร์
4. อนุญาตให้ผู้อื่นใช้ลิขสิทธิ์ในงานที่ทำซ้ำ
5. อายุแห่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์ คือ ระยะเวลาที่เจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์จะห้ามหรือฟ้องร้องดำเนินคดี เพื่อเอาผิดแก่บุคคลใด ที่ลอกเลียน ทำซ้ำ หรือทำการใดๆอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
3. ประโยชน์ของการปฏิบัติตนตามกฎหมาย
-
ช่วยให้รู้จักระวังตนไม่ให้พลาดพลั้งกระทำความผิดหรือปฏิบัติฝ่าฝืนข้อห้ามที่กฎหมายกำหนด
-
ช่วยป้องกันไม่ให้ถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบ
-
ช่วยให้รัฐบริหารบ้านเมืองอย่างราบรื่น เพราะทุกคนปฏิบัติตนตามกฎหมาย
-
ช่วยให้เกิดประโยชน์ในการประกอบอาชีพ เพราะกฎหมายมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการดำเนินชีวิต
กฎหมายคุ้มครองของบุคคลเป็นเครื่องมือของรัฐเพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการให้ความคุ้มครองบุคคลในสังคม ดังนั้นหากทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดก็จะทำให้สังคมและประเทศเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย


เรื่องที่ 3
กฎหมายและการคุ้มครองสิทธิของบุคคล

